วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

วาเลนไทน์

ประวัติ
วันนักบุญวาเลนไทน์ (อังกฤษSaint Valentine's Day) หรือที่มักเรียกเพียง วันวาเลนไทน์ (อังกฤษValentine's Day) ตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ของทุกปี วันวาเลนไทน์มีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนใหญ่เป็นประเทศทางตะวันตก แม้จะยังเป็นวันทำงานในทุกประเทศเหล่านั้นก็ตาม
"นักบุญวาเลนไทน์" แต่เดิมเป็นเพียงการจัดพิธีสวดแก่นักบุญยุคต้นหนึ่งคนหนึ่งหรือมากกว่า ชื่อ วาเลนตินัส ความหมายโรแมนติกโดยนัยสมัยใหม่ล้วนถูกกวีเพิ่มเติมในอีกหลายศตวรรษต่อมาทั้งสิ้น วันวาเลนไทน์จัดขึ้นเป็นครั้งแรกโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเกลาซิอุสที่ 1 ใน ค.ศ. 496 ก่อนจะถูกลบออกจากปฏิทินนักบุญทั่วไปของโรมัน (General Roman Calendar of saints) ใน ค.ศ. 1969 ภายหลัง โดยสมเด็จพระสันตะปาปาปอลที่ 6
วันวาเลนไทน์มาข้องเกี่ยวกับรักแบบโรแมนติกเป็นครั้งแรกในแวดวงสังคมของเจฟฟรีย์ ชอเซอร์ ระหว่างสมัยกลางเรืองอำนาจ (High Middle Ages) เมื่อประเพณีรักเทิดทูน (courtly love) เฟื่องฟู จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 15 วันวาเลนไทน์ได้วิวัฒนามาเป็นโอกาสซึ่งคู่รักจะแสดงความรักของพวกเขาแก่กันโดยให้ดอกไม้ ขนมหรือลูกกวาด และส่งการ์ดอวยพรกัน

นักบุญวาเลนไทน์

ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์

มรณสักขีในศาสนาคริสต์ช่วงต้นหลายคนมีชื่อว่า วาเลนไทน์ ซึ่งวาเลนไทน์ที่มีการสรรเสริญเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์มีวาเลนไทน์แห่งโรม (Valentinus presb. m. Romae) และวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี (Valentinus ep. Interamnensis m. Romae)[3] วาเลนไทน์แห่งโรมเป็นนักบวชในโรมผู้พลีชีพเพื่อศาสนาราว ค.ศ. 269 และถูกฝังที่เวียฟลามีเนีย (Via Flaminia) กะโหลกที่สวมมาลัยดอกไม้ของนักบุญวาเลนไน์ถูกจัดแสดงในมหาวิหารซานตามาเรียในคอสเมดิน โรม วัตถุมงคลอื่นพบได้ในมหาวิหารซานตาพราสเซเด (Santa Prassede)[4] ในโรมเช่นกัน เช่นเดียวกับที่โบสถ์คาร์เมไลท์ถนนไวท์ไฟร์อาร์ (Whitefriar Street Carmelite Church) ในดับลิน ไอร์แลนด์

วาเลนไทน์แห่งเทอร์นีกลายมาเป็นบิชอปแห่งอินเตรัมนา (Interamna, ปัจจุบัน คือ เทอร์นี) ราว ค.ศ. 197 และกล่าวกันว่าพลีชีพเพื่อศาสนาระหว่างการเบียดเบียน (persecution) ในรัชสมัยจักรพรรดิออเรเลียน ท่านถูกฝังที่เวียฟลามีเดียเช่นกัน แต่คนละตำแหน่งกับที่ฝังวาเลนไทน์แห่งโรม วัตถุมงคลของท่านอยู่ที่มหาวิหารนักบญวาเลนไทน์แห่งเทอร์นี[5]
สารานุกรมคาทอลิกยังกล่าวถึงนักบุญคนที่สามที่ชื่อวาเลนไทน์ ผู้ซึ่งมีการกล่าวขานถึงในบัญชีมรณสักขียุคต้นในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ท่านพลีชีพเพื่อศาสนาในแอฟริการ่วมกับเพื่อนเดินทางจำนวนหนึ่ง แต่ไม่มีข้อมูลอื่นใดเกี่ยวกับท่านอีก[6]
ไม่มีส่วนใดที่โรแมนติกปรากฏในชีวประวัติยุคกลางตอนต้นแต่เดิมของมรณสักขีทั้งสามท่านนี้ ก่อนที่นักบุญวาเลนไทน์จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องรักใคร่ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 นี้ ระหว่างวาเลนไทน์แห่งโรมกับวาเลนไทน์แห่งเทอร์นีนั้นไม่มีความข้องเกี่ยวกันเลย
ศีรษะของนักบุญวาเลนไทน์ถูกเก็บรักษาไว้ในแอบบีย์นิวมินสเตอร์ วินเชสเตอร์ และเป็นที่เคารพบูชา แต่ไม่มีหลักฐานว่านักบุญวาเลนไทน์จะเป็นนักบุญที่ได้รับความนิยมก่อนบทกวีของเชาเซอร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 แม้แต่ในพื้นที่วินเชสเตอร์[7] การเฉลิมฉลองนักบุญวาเลนไทน์มิได้แตกต่างไปจากการเฉลิมฉลองนักบุญคนอื่นอีกมาก และไม่มีโบสถ์ได้อุทิศถึงท่าน[7]
ในการตรวจชำระปฏิทินนักบุญโรมันคาทอลิก วันสมโภชนักบุญวาเลนไทน์ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ถูกนำออกจากปฏิทินโรมันทั่วไปและลดขั้นไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ (particular calendar, ท้องถิ่นหรือประจำชาติ) ด้วยเหตุผล "แม้ความทรงจำเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์จะเก่าแก่ แต่ชื่อของท่านก็ถูกลดไปอยู่ในปฏิทินเฉพาะ เพราะ นอกเหนือไปจากชื่อของท่านแล้ว ไม่มีข้อมูลอื่นใดทราบกันเกี่ยวกับนักบุญวาเลนไทน์ เว้นแต่ว่า ท่านถูกฝังที่เวียฟลามิเนียเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์"[8] วันสมโภชนี้ยังมีการเฉลิมฉลองอยู่ในบัลซาน (มอลตา) ที่ซึ่งมีการอ้างว่าพบวัตถุมงคลของนักบุญวาเลนไทน์ที่นั่น และมีการเฉลิมฉลองทั่วโลกโดยผู้นับถือนิกายคาทอลิกดั้งเดิมที่ถือตามปฏิทินที่เก่ากว่าก่อนหน้าของสภาวาติกันที่สองนี้ วันที่ 14 กุมภาพันธ์ยังมีการเฉลิมฉลองเป็นวันวาเลนไทน์ในนิกายอื่นของศาสนาคริสต์ ตัวอย่างเช่น วันวาเลนไทน์มีระดับระดับ "พิธีฉลอง" (commemoration) ในปฏิทินของศริสตจักรแห่งอังกฤษ และส่วนอื่นของแองกลิคันคอมมิวเนียน[9]

[แก้]ตำนาน

ในคริสต์ศตวรรษที่ 5 หรือที่ 6 ผลงานชื่อ Passio Marii et Marthae ได้กุเรื่องราวการพลีชีพเพื่อศาสนาแก่นักบุญวาเลนไทน์แห่งโรม ซึ่งปรากฏว่ามิได้มีพื้นฐานอยู่บนข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ใด ๆ เลย[10]ผลงานนี้อ้างว่า นักบุญวาเลนไทน์ถูกเบียดเบียนเพราะนับถือศาสนาคริสต์ และถูกสอบสวนโดยจักรพรรดิโรมัน เคลาดิอุสที่สอง เป็นการส่วนตัว วาเลนไทน์ทำให้จักรพรรดิเคลาดิอุสประทับใจและได้มีการสนทนากับท่าน โดยพยายามให้เขาเปลี่ยนไปนับถือลัทธิเพเกินโรมันเพื่อรักษาชีวิตของท่าน วาเลนไทน์ปฏิเสธและพยายามโน้มน้าวให้จักรพรรดิเคลาดิอุสหันมานับถือศาสนาคริสต์แทน ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงถูกประหารชวิต ก่อนที่ท่านจะถูกประหารชีวิตนั้น มีรายงานวาท่านได้แสดงปาฏิหารย์โดยรักษาลูกสาวตาบอดของผู้คุมของขา แอสเตอเรียส (Asterius) Passio สมัยหลังย้ำตำนานนี้ โดยเสริมเรื่องกุว่า สมเด็จพระสันตะปาปาจูเลียสที่ 1 ได้ทรงสร้างโบสถ์ครอบสุสานของท่าน (เป็นความเข้าใจผิดกับผู้พิทักษ์ประชากร [tribune] ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ชื่อ วาเลนติโน ซึ่งบริจาคที่ดินเพื่อสร้างโบสถ์ในขณะที่จูเลียสเป็นพระสันตะปาปา)[10] ตำนานได้ถูกหยิบยกขึ้นเป็นข้อเท็จจริงโดยบันทึกมรณสักขีในภายหลัง เริ่มจากบันทึกมรณสักขีของบีดในคริสต์ศตวรรษที่ 8 และมีย้ำในคริสต์ศตวรรษที่ 13 ใน Legenda Aurea[11] หนังสือนี้อธิบายคร่าว ๆ ถึงกิจการของนักบุญ (Acta Sanctorum) ยุคกลางตอนต้นของนักบุญวาเลนไทน์หลายคน และตำนานนี้ถูกจัดเข้ากับวาเลนไทน์ใต้วันที่ 14 กุมภาพันธ์

ให้อ่อนล้าสักปานใด..ฉันก็ยินดีจะตามไป เพื่อรักเธอ

ห นึ่ ง หั ว ใ จ ที่ เ ค ย ว่ า ง เ ป ล่ า
ฉาบทาด้วยความโศกเศร้า..ก็ได้พบเงาใครคนนั้น
ค ล้ า ย ชี วิ ต ถู ก เ ป ลี่ ย น แ ป ล ง . . จ า ก หั ว ใ จ ที่ แ ห้ ง แ ล้ ง ม า น า น วั น
แต่งแต้มความศรัทธา..และไฟฝัน..ให้คนอย่างฉันได้พบเจอ
ข อ บ คุ ณ ส า ย ล ม แ ห่ ง โ ช ค ช ะ ต า
ที่หอบพัดเธอมา..สู่หัวใจไหวเพ้อ
ซึ บ ซั บ ค ว า ม ห ม า ย อั น อ บ อุ่ น . . ย า ม ที่ โ ล ก ห มุ น ม า พ บ เ ธ อ
คือความสวยงาม..คือความเลิศเลอและสิ่งที่ฉันจะตอบแทนเธอ..คือหัวใจ
ตั้ ง ใ จ ฟั ง ฉั น น ะ ค น ดี
รู้ไว้ว่าวันพรุ่งนี้..รักที่ฉันมีจะให้เธอมากกว่าวันไหนๆ
ไ ม่ ว่ า เ ธ อ จ ะ เ ป็ น ต ะ วั น ก ล้ า . . ห รื อ เ ป็ น โ ค้ ง ฟ้ า ที่ แ ส น ไ ก ล
ให้อ่อนล้าสักปานใด..ฉันก็ยินดีจะตามไป
- เพื่อรักเธอ -

เจ้าหญิงเม็ดทราย กับ เจ้าชายพระจันทร์

หลับตาลงน่ะ…คนดี
คืนนี้มีนิทานจากฟากฝัน
เจ้าหญิงเม็ดทราย กับ เจ้าชายพระจันทร์
เธอเคยได้ฟังเรื่องราวเหล่านั้นบ้างไหม?
-  -  -  -  -  -
ครั้งหนึ่งในดินแดนแห่งโลกกว้าง
มีผืนทะเลอ้างว้างกับฟ้าใส
ทั้งสองอยู่ห่างกันเหมือนแดนฝันห่างไกล
ไม่อาจอยู่ใกล้ ไม่อาจผูกพัน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทราย…ช่างเหงา
แอบรัก เจ้าชายพระจันทร์เศร้า…ช่างฝัน
ในค่ำคืนเงียบสงบ ทุกวัน
เจ้าหญิงได้แต่มองอย่างเงียบงัน..เดียวดาย
-  -  -  -  -  -
ท้องทะเล ผู้อ่อนโยน
จึงทอดตัวไปจนไกลโพ้น..ลับหาย
จนปรากฎเส้นขอบฟ้า แสนไกล
จรดฟ้ากับทะเลไว้ใกล้กัน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทรายจึงล่องไปในทะเล
ร่อนเร่ไปตามแดนแห่งฝัน
ไปจนถึงเส้นขอบฟ้าจรดพระจันทร์
แล้ว ณ ที่นั้นความผูกพันก็เบ่งบาน
-  -  -  -  -  -
เจ้าหญิงเม็ดทราย เจ้าชายพระจันทร์
อบอุ่นในคืนวันอันอ่อนหวาน
และเรื่องราวที่เกิดขึ้นคือ..ตำนาน
ว่าทำไมฉันจึงผ่านเข้ามา…รักเธอ

ฉันไม่ต้องการ คำว่า รัก สักเท่าไหร่

ฉันไม่ต้องการ คำว่า – รัก – สักเท่าไหร่
แค่ขอมีเธออยู่ใกล้ ๆ ตลอดไปก็เท่านั้น
ไม่ต้องการกักขังใครไว้ในหัวใจกันและกัน
อยากให้อิสระ กับ ความผูกพัน เดินด้วยกันต่อไป
- – -
เพราะอยากให้เธอสบายใจเมื่อใกล้ฉัน
ไม่อยากเป็นสายป่านที่คอยตรึงกันเอาไว้
เพราะกล้วว่าสักวันสายป่านนั้นอาจตึงจนขาดไป
ถึงวันนั้น..เอื้อมมือคว้าเท่าไหร่..คงไกลเกิน
- – -
แม้ตอนนี้เราอาจจะเดินอยู่คนละฝั่งฟ้า
แต่คงไม่ไกลเกินกว่าความห่วงหาจะข้ามไปไหว
ความผูกพันของเราไม่อาจหยุดลงเพราะห่างไกล
แต่กลับทบทวีความมั่นใจ..ว่าสักวันเราจะได้อยู่ใกล้กัน

 ดอกไม้จากใจ 

          ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยไหน หรือว่าประเทศใด ดอกไม้นั้นนับว่าเป็นสื่อรักแทนใจที่คลาคสิคที่สุด ไม่เพียงแค่เป็นตัวแทนแห่งความรักสำหรับหนุ่มสาวเท่านั้น แต่ดอกไม้ยังสามารถสื่อความรักได้หลากหลายรูปแบบเลยทีเดียว ซึ่งดอกไม้ต่าง ๆ ก็จะมีความหมายแตกต่างกันไป 

            กุหลาบสีแดง : เป็นดอกกุหลาบที่แทนความหมายว่า "ฉันรักเธอ"  ถ้ามอบดอกกุหลาบสีแดงให้แก่คู้รักนั้นหมายความว่าคุณจริงจัง และอยากใช้ชีวิตที่เหลือร่วมกับเค้า 

            กุหลาบสีขาว : เป็นดอกไม้ที่แสดงถึงความบริสุทธิ์ ในความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทน 

            กุหลาบสีชมพู : เป็นตัวแทนของความโรแมนติกที่สุด แสดงถึงความรักที่กำลังจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ 

            กุหลาบสีเหลือง : ซึ่งสีเหลืองแสดงถึงความสดใส ส่วนมากจะนำไปเยี่ยมผู้ป่วย หรือมอบแทนความรู้สึกดี ๆ ให้แก่เพื่อน

            ดอกทิวลิปสีแดง : เป็นการแสดงออกถึงความรักอย่างเปิดเผย

            ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู :ใช้แทนความหมายว่า  "ถึงอย่างไรผมก็ยังรักคุณ" หรือ "คุณยังอยู่ในหัวใจฉันเสมอ"

            ดอกลิลลี่สีขาว :  แสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์ เฉกเช่นเดียวกับกุหลาบขาว นอกจากนั้นยังแสดงบถึงความรักที่อ่อนหวานและจริงใจ หรืออาจจะแทนความหมายว่า "ฉันรู้สึกดี ๆ ที่ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ"

            ดอกฟอร์เก็ตมีน๊อต: มีความหมายลึกซึ้งว่า รักแท้   หรืออาจะสื่อความหมายว่า ได้โปรดอย่าลืมฉัน และอย่าลืมความรู้สึกดี ๆ ที่เคยมีให้กัน